การแสดงศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแห่งเอเชีย (The Asian International Art Exhibition หรือ AIA หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน

หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน (ใกล้อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ )มีกิจกรรมทางด้านศิลปะให้ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาบนถนนราชดำเนิน ได้สัมผัสแล้ว 
ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ ระหว่างวันนี้ - 28 เมษายน พ.ศ.2556 เวลา 16.00 - 20.00 น.สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้เชิญศิลปินมากหน้าหลายตา มาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสร้างสีสันให้กับถนนสายนี้ผ่านงาน ถนนศิลปะราชดำเนิน (Art Street @ Ratchadamnoen)   
       ได้แก่ กิจกรรมสาธิตวาดภาพลายเส้น สาธิตวาดภาพจิตรกรรม สาธิตการสร้างงานประติมากรรม และศิลปะการแสดง โดยศิลปินอิสระและนักศึกษาศิลปะจากหลากหลายสาขาที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสาธิต และนำเสนอผลงาน

       ล่าสุดยังมีงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปินจากหลายประเทศของเอเชีย มาจัดแสดงให้ชมเต็มพื้นที่ทั้ง 2 ชั้น ของหอศิลป์ฯ อีกด้วย 
      
       ซึ่งเดิมที การแสดงศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแห่งเอเชีย (The Asian International Art Exhibition หรือ AIAE มีขึ้นครั้งแรก เมื่อ ปี 2528 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ โดยความร่วมมือกันของศิลปิน 3 ชาติ ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ป่น และไต้หวัน กระทั่งขยายความร่วมมือไปยังอีกหลายประเทศของเอเชีย
      
       ด้วยต้องการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนทางศิลปะและวัฒนธรรมระหว่างประเทศในทวีปเอเชีย อย่างเป็นอิสระ
       ประเทศไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมครั้งแรก ในแสดงผลงานครั้งที่ 5 ณ ประเทศ มาเลเซีย
       และปีนี้เป็นปีที่การแสดงผลงานศิลปะในนาม AIAE ดำเนินมาเป็นครั้งที่ 27 แล้ว และมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
       นอกจากจะมีผลงานศิลปะของประเทศสมาชิกที่มีอยู่มาจัดแสดงแล้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ยังได้เชิญ ศิลปินจากอีกหลายประเทศในเอเชียที่ไม่ได้เป็นสมาชิก อาทิ อิหร่าน อัฟกานิสถาน บังคลาเทศ ปากีสถาน พม่า ลาว และกัมพูชา มาร่วมแสดงผลงานด้วย รวมเป็นทั้งสิ้น 21 ประเทศ
       และเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ยังได้จัดให้มีกิจกรรม Asian Artist Workshop ที่ จ.กระบี่ เพื่อให้ศิลปินซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศได้มีโอกาสใช้เวลาสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน และนำผลงานที่เกิดขึ้นระหว่างการเวิร์คชอป มาจัดแสดงร่วมกับผลงานที่หอบหิ้วจากประเทศตน 
       รวมเป็นผลงานศิลปะทั้งสิ้นกว่า 250 ชิ้น ที่ศิลปินจาก 21 ประเทศอาเซียน มีมาให้ ชมฟรี!! ที่...ราชดำเนิน

      
      
      
      

             Celeb Online www.astvmanager.com และ M-Art eye view เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์

วารสารไทยคดีศึกษาฉบับ "ต่อสู้และต่อรอง"


การต่อสู้ระหว่างชายขอบกับศูนย์กลาง: ประวัติศาสตร์การสร้างอัตลักษณ์รัฐชาติไทย

                                                                                                                รศ.ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณิ

     บทความนี้เป็นผลจากการกลับไปอ่านข้อมูลและการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยบางช่วงใหม่ จากนั้นจึงวิพากษ์และวิเคราะห์แนวคิดและการปฏิบัติในการสร้างรัฐไทยใหม่
ในระยะเปลี่ยนแปลงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  มาถึงต้นสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะในประเด็นของการสร้างอัตลักษณ์และการแข็งขืนของหัวเมืองและประเทศราชและพื้นที่ไม่มีรัฐในระยะแรก  กรณีที่ใช้ในการศึกษาคืออาณาจักรปะตานีในภาคใต้และอาณาจักรล้านนาในภาคเหนือ  คำถามสำคัญได้แก่อะไรคือมูลเหตุแห่งการสร้างแนวคิดและวาทกรรมใหม่อันเกี่ยวเนื่องกับการสร้างรัฐชาติ  ทำไมบรรดาหัวเมืองและประเทศราชหลายแห่งไม่ยอมหรือไม่ต้องการเข้ามาอยู่ใต้อำนาจศูนย์กลางของกรุงเทพมหานคร และอะไรคือปัจจัยในการทำให้สยามบรรลุความสำเร็จในการสร้างรัฐชาติไทยขึ้นมาได้สำเร็จ   กรณีศึกษาที่ใช้ในบทความนี้มาจากสองที่คืออาณาจักรปะตานีในภาคใต้สุดกับอาณาจักรล้านนาในภาคเหนือ

ข้อสังเกตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์กับสังคมไทย กรณี กบฏอ้ายสาเกียดโง้ง พ.ศ. 2358

                                                                                                                          วราภรณ์  เรืองศรี 
บทความนี้ มีจุดประสงค์ในการทำความเข้าใจขบวนการเคลื่อนไหวซึ่งเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์และกบฏผู้มีบุญในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมืองช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 เพื่อไขปริศนาของการเคลื่อนไหวภายใต้ข้อจำกัดของถ้อยความคิดเดิมซึ่งให้ความสำคัญต่อขบวนการเคลื่อนไหวดังกล่าวในลักษณะสัมพัทธ์กับการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาหลังจากนั้น ผ่านประเด็นเรื่องการดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางในรัชกาลที่ 5 และการเข้ามาของอาณานิคม
ผู้เขียน ได้หยิบยกกรณีอ้ายสาเกียดโง้งขึ้นมาอธิบาย โดยพิจารณาทั้งความเป็นมาของกลุ่ม ตลอดจนชีวิตทางวัฒนธรรมของผู้เข้าร่วมที่สัมพันธ์กับมิติความเชื่ออยู่ก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่ม “ข่า” ผู้เข้าร่วมหลักของขบวนการ ซึ่งจัดว่าเป็น “ไพร่ส่วย” และต้องส่งส่วยให้กับผู้ปกครองท้องถิ่นและรัฐสยาม ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่าง ข่า กับ ผู้นำ (สาเกียดโง้ง)
บทความนี้เสนอข้อค้นพบว่าการรวมตัวของข่ามิได้เกิดจากความเชื่อในอิทธิปาฏิหาริย์ของผู้นำหรือ “โลกหน้า” เพียงอย่างเดียวหากต้องเป็นการปฏิบัติจริงใน “โลกนี้” ซึ่งผู้นำต้องสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในลักษณะความเชื่อในพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยม ที่เกิดขึ้นในช่วงอยุธยาตอนปลาย ผู้เขียนจึงตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า การเคลื่อนไหวซึ่งเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์และกบฏผู้มีบุญในยุคก่อนต้นศตวรรษที่ 25 เป็นดั่งภาพสะท้อนของการปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ของชนชั้นนำที่มีลักษณะของการหยิบยืมลักษณะผู้นำในวัฒนธรรมของชนชั้นล่างมาปรับใช้ เพราะฐานความคิดเรื่อง “โลกนี้-โลกหน้า” และ “อภินิหาร-มนุษยนิยม”  ต่างเป็นส่วนหนึ่งของระบบวัฒนธรรมที่ไม่สามารถแยกขั้วออกจากกันได้อย่างชัดเจนนั่นเอง


กำเนิดการประปาในสมัยรัชกาลที่ ๕ กับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทย   


                                                                                                                     เทียมจิตร์ พ่วงสมจิตร์ 
คนไทยมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับแหล่งน้ำโดยตั้งบ้านเรือนกระจุกตัวอยู่ตามริมน้ำ  เพื่ออาศัยน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ และลำคลอง เป็นน้ำกินน้ำใช้ในครัวเรือนและเพื่อการเพาะปลูก  รวมทั้งใช้ลำน้ำลำคลองเป็นเส้นทางสัญจรตามธรรมชาติ  ขณะเดียวกันก็ใช้เป็นช่องทางระบายของเสียและโสโครกจากครัวเรือนไปด้วยในตัว  คนไทยดำรงชีวิตในรูปแบบนี้มาแต่ครั้งโบราณ  จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  ที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจจากระบบผูกขาดเป็นระบบการค้าเสรี เนื่องจากผลของการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ ๔  เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองใหม่ร่วมสมัยตะวันตก  ดังพบว่ากรุงเทพมหานครมีการขยายพื้นที่เมืองให้กว้างขวางออกไป  เพราะจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นไปอย่างสลับซับซ้อน  มีชนชั้นกลางเกิดขึ้นโดยมีรูปแบบวิถีชีวิตแตกต่างไปจากชนชั้นเจ้าและชนชั้นสามัญ  แม้สังเกตจากรูปแบบของน้ำกินน้ำใช้ในชีวิตประจำวันก็สามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างชนชั้นได้อย่างชัดเจน 
            การเพิ่มจำนวนประชากรอย่างรวดเร็วของกรุงเทพมหานครนำมาซึ่งปัญหาความสกปรกของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะแหล่งน้ำ  ทำให้เกิดโรคระบาดที่มากับน้ำสกปรกอยู่บ่อยครั้ง  ประกอบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำจืดเนื่องจากน้ำทะเลหนุนเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาในบางปี  สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยให้สร้างการประปาขึ้นเป็นครั้งแรกในสังคมไทย เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว  ซึ่งนับเป็นวิธีแก้ปัญหาอย่างตรงจุดและแสดงให้เห็นว่ารัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชวิสัยทัศน์อันยาวไกล ฉับไว และเท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวิทยาการ   แต่เมื่อสังคมไทยมีการประปาขึ้นแล้วก็ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากรูปแบบเดิมที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามริมน้ำ เพื่ออาศัยน้ำจากแม่น้ำและลำคลองสำหรับบริโภคและใช้สอยโดยการตัก วิด หาบ ไข สูบ เก็บไว้ในตุ่ม โอ่ง  บ่อ และสระ  มาเป็นรูปแบบใหม่โดยคนไทยมีน้ำกินน้ำใช้ที่สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากเชื้อโรค  ที่ไหลมาจากท่อ ต่อตรงถึงครัวเรือน  สะดวกสบายแต่ต้องจ่ายสตางค์ซื้อ  นอกจากนี้การมีประปาน่าจะส่งผลต่อด้านกายภาพในเวลาต่อมา ที่แม่น้ำและลำคลองลดความสำคัญลงในการเป็นแหล่งตั้งบ้านเรือน  คนไทยสามารถกระจายตัวไปตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนได้ในทุกแห่งแม้ในพื้นที่กันดารน้ำ เพราะมีน้ำประปาสำหรับบริโภคใช้สอยแทนน้ำจากแม่น้ำและลำคลอง  จึงมิจำเป็นต้องกระจุกตัวอยู่เฉพาะตามริมน้ำริมคลองอีกต่อไป

ความแปลกปลอมของความเป็นไทยใน องค์บาก และ ต้มยำกุ้ง

                                                                                                                      นัทธนัย ประสานนาม 
บทความนี้มุ่งศึกษาการประดิษฐ์สร้างความเป็นไทยในภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก และ ต้มยำกุ้ง ผลการศึกษาพบว่าความเป็นไทยถูกนำเสนอผ่านบทบาทของตัวละครเอก สัญลักษณ์ของชุมชนที่เชื่อมโยงกับสถาบันชาติและศาสนา คตินิยมเอ็กโซติก และสหบทจากภาพยนตร์นานาชาติ จึงกล่าวได้ว่า ปฏิบัติการทางความหมายในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องมุ่งเฉลิมฉลองความเป็นไทยในรูปแบบสินค้าทางวัฒนธรรมในบริบทข้ามชาติ การประกอบกันของความหมายทั้งมวลเป็นสิ่งที่ “แปลก” แต่น่าดึงดูดใจเพราะตอบสนองความเป็นไทยตามจินตนาการของชาวไทยและชาวต่างชาติได้ ทั้งยัง “ปลอม” เพราะมีกระบวนการเปิดเผย-อำพราง เลือกสรร-คัดทิ้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นไทยอันสมบูรณ์แบบในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้

ประสบการณ์สนาม : งานวิจัยและพัฒนา


                                                                                                                    ม.ร.ว.อคิน  รพีพัฒน์
บทความนี้เล่าถึงการทำงานของโครงการพัฒนาชนบทลุ่มน้ำแม่กลอง  ปัญหาต่าง ๆ ในการทำงาน  ตั้งแต่การประสานงาน  การเขียนโครงการและการทำงานโดยสั่งการไปจากเบื้องบน  จนถึงการที่เกิดการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้  เพราะทีมในสนามได้ทำงานโดยยึดเอาความต้องการและความจำเป็นของชาวบ้านเป็นหลัก  จึงเกิดการทำงานเพื่อกระตุ้นให้ชาวบ้านสำนึกในปัญหาของตน  และร่วมมือกันหาวิธีแก้ปัญหา  ทำให้ชาวบ้านเกิดความมั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะแก้ปัญหาของตนเองได้
บทความนี้ได้เล่าถึงกระบวนการทำงานใน  6  ตำบลในลุ่มน้ำแม่กลอง  ปัญหาในการดำเนินงานในแต่ละแห่ง  ความล้มเหลวและความสำเร็จในแต่ละแห่งและบทเรียนในการทำงานพัฒนาพื้นที่  อันได้ถูกพัฒนาและใช้ต่อกันมาจนทุกวันนี้
โครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลอง  ได้ล้มเหลวในเจตนาเบื้องต้นที่จะสร้างแผนสำหรับพัฒนาเศรษฐกิจและการเกษตรทั้งลุ่มน้ำ  แต่กลับประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสร้างตัวแบบของการพัฒนาชุมชน.