ที่มา ดร.วรรณดี สุทธินรากร
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕
ความคิดเชิงระบบกับองค์การแห่งการเรียนรู้
๑. การคิดอย่างเป็นระบบ(System Thinking)
- คนในส่วนราชการสามารถมองเห็นวิธีคิดและภาษาที่ใช้อธิบาย พฤติกรรมความเป็นไป ต่าง ๆ ถึงความเชื่อมโยงต่อเนื่องของสรรพสิ่งและเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ผูกโยงกันเป็นระบบ เป็นเครือข่ายด้วยสภาวะการพึ่งพาอาศัยกัน
- สามารถมองปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็นวัฎจักรโดยนำมาบูรณาการเป็นความรู้ใหม่ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงระบบได้อย่างมีประสิทธิผลสอดคล้องกับความเป็นไปในโลกแห่งความจริง
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖
หมวด ๓ มาตรา ๑๑
การคิดเชิงระบบ และความสัมพันธ์ของความคิดเชิงระบบเป็นองค์ประกอบสำคัญ
ที่จะนำหน่วยงานไปสู้องค์การแห่งการเรียนรู้
“ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมาการเรียนรู้ร่วมกัน”
๒. มีแบบแผนความคิด(Mental Model) คือ การตระหนักถึงกรอบแนวคิดของตนเอง รูปแบบความคิด ความเชื่อที่มีผลต่อการตัดสินใจและการกระทำของตน และพยายามพัฒนารูปแบบความคิดความเชื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถที่จะบริหารปรับเปลี่ยนกรอบความคิดของตน
๓. การสร้างพลังแห่งตน(Personal Mastery) คือ การส่งเสริมให้คนในองค์การสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง โดยการจัดทำกลไกต่าง ๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกของคนในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างหน่วยงาน ระบบสารสนเทศระบบการพัฒนาบุคคล หรือแม้แต่ระเบียบวิธีการปฏิบัติงานประจำวัน
๔. การกำหนดวิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) คือ การกำหนดกรอบความคิดเกี่ยวกับสภาพในอนาคตของหน่วยงานที่ทุกคนในหน่วยงานมีความปรารถนาร่วมกัน ช่วยกันสร้างภาพอนาคตของหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ริเริ่มทดลองสิ่งใหม่ ๆ ของคนในหน่วยงาน และให้การทำงานเป็นไปในทาง หรือกรอบแนวทางที่มุ่งไปสู้จุดเดียวกัน
๕. การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning) คือ การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์และทักษะวิธีคิดเพื่อพัฒนาภูมิปัญญาและศักยภาพของทีมงาน รวมทั้งการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกันเป็นทีมด้วย
ระบบคืออะไร
- ระบบคือความเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบเพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง
- เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อนำเอาส่วนประกอบอันใดอันหนึ่งออกไปหรือเพิ่มส่วนประกอบอันอื่น
- องค์ประกอบทุกส่วนทำงานประสานกัน
- เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
คุณสมบัติของความคิดอย่างเป็นระบบ
- การคิดแบบมีความเป็นองค์รวม (Holistic)
- การคิดเป็นเครือข่าย (Networks)
- คิดเป็นลำดับชั้น (Hierarchy)
- คิดแบบมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน (Interaction) ระหว่างระบบด้วยกัน
- คิดอย่างมีขอบเขต (Boundary)
- คิดอย่างมีแบบแผน (Pattern)
- คิดอย่างมีโครงสร้าง (System Structure)
- คิดอย่างมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง (Adaptation)
- คิดเป็นวงจรป้อนกลับ (Feedback-Loops)
การคิดเชิงระบบ
- การคิดเชิงระบบคือ “การคิดแบบให้เห็นทั้งหมด”
- “ทั้งหมด” คือ “หนึ่งเดียว” ที่มีส่วนประกอบเหล่านั้นเชื่อมติดกันทั้งหมด
- “ความเชื่อมต่อ” คือโครงสร้างของระบบ (Systemic Structure)
การคิดอย่างเป็นระบบหมายถึงอะไร
- ทุก ๆ ส่วนต่างมีการเชื่อมต่อกันทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ย่อมมีผลกระทบเป็นลูกคลื่นไปยังส่วนต่าง ๆ ของระบบและย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
- การคิดเป็นระบบหมายถึงการคิดในลักษณะที่เป็นวง (Loop) มากกว่าที่จะเป็นเส้นตรง
การทำงานของสมองเรา
- สมองส่วนหน้าของคนเราจะทำงานเกี่ยวกับการเรียนรู้และการทรงจำ ชั้นบนสุดของสมองส่วนหน้าเรียกว่าซีรีบรัม (cerebrum) ซีรีบรัมแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ซีรีบรัมซีกซ้ายและซีรีบรัมซีกขวาซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน
โครงสร้างทางสมองของคนเรา
- ซีรีบรัมซีกขวา จะรับผิดชอบการรับรู้ด้านอารมณ์ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ การเห็นเป็นภาพความรัก ความเมตตา ลางสังหรณ์
- ซีรีบรัมซีกซ้าย ทำหน้าที่ควบคุมการรับรู้ที่เป็นผล เป็นตรรกะ การวิเคราะห์ การจัดลำดับก่อนหลัง เป็นการคิดแบบใช้เหตุผล การเรียนรู้คณิตศาสตร์และภาษา
ทักษะการคิดที่มาสำคัญสำหรับผู้บริหาร
- วิสัยทัศน์
- ทักษะความคิด
- ความคิดทางบวก
- ความคิดริเริ่มพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ
- การรับรู้สัญญาณได้เร็ว
- การวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร
- การเห็นภาพรวม
- การตัดสินใจการแก้ปัญหา
ทำอย่างไรจึงจะคิดอย่างเป็นระบบ เริ่มต้นตรงไหนดี
- ฝึกความคิดทางบวก การมองโลกในแง่บวก(Positive Thinking)
- ฝึกความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creative Thinking)
- ฝึกใช้วิธีคิดในการแก้ไขปัญหาหลาย ๆ แบบ (Multi – Thinking Skill)
คิดบวกคืออะไร
- ความคิดที่มุ่งสู่ความสำเร็จ ผลลัพธ์ที่ต้องการความไม่ย่อท้อต่อปัญหาหรืออุปสรรค
- การหาหนทางแก้ไขปัญหาโดยใช้ทรัพยากรเท่าที่มีอย่างคุ้มค่าที่สุด
- การไม่กลัวความล้มเหลว การกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้เมื่อล้มเหลว การเชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จ
การคิดหลาย ๆ แบบ
- การคิดแบบริเริ่ม (Initiative Thinking)
- การคิดแบบอย่างเป็นระบบ (System Thinking Thinking)
- การคิดแบบสร้างสรรค์ (Creative Thinking)
- กาคิดแบบวิจารณญาณ (Critical Thinking)
- การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking)
- การคิดแบบบูรณาการ (Integrative Thinking)
- การคิดแบบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Thinking)
- การเชิงประยุกต์ใช้ (Application Thinking)
- การคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis Thinking)
- การคิดแบบแผนที่ (Mind Map Thinking)
คิดสร้างสรรค์คืออะไร
- คือ ความสามารถคิดหาคำตอบใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเดิมหรือมีคำตอบมากมายให้กับแต่ละปัญหาโดย
- ใช้วิธีคิดที่ไม่มีขอบเขตจำกัดเพื่อหาคำตอบสำหรับปัญหาหรือการพัฒนา
กิจกรรมส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
- เล่นอย่างสร้างสรรค์
- มีอารมณ์ดี
- ทำตัวเป็นศิลปินให้มากขึ้น
- หาเวลาอยู่คนเดียวบ้าง
- กล้าที่จะแตกต่าง
- จดบันทึก
ตัวอย่างเทคนิคแบบต่างๆ
- ใช้รูปแบบความคิด Mind Set ให้เป็นประโยชน์
- ใช้แผนภูมิก้างปลา
- ทำแผนภูมิความคิด Mind Map
- ใช้คำถาม ๕ w ๒ h
- เปลี่ยนมุมมองปัญหา
- อย่ายึดติดกับขอบเขตปัญหา
- ฝึกคิดเชิงยุทธศาสตร์ SWOT BSC ฯลฯ
ขั้นตอนในการประสานพลังสมองเพื่อความคิดสร้างสรรค์
- ขั้นกลเก็บรวบรวมข้อมูล
- ขั้นบ่มความคิด
- ขั้นพิชิตคำตอบ
- ขั้นตรวจสอบ
วิธีถาม ๗ ข้อ (วิธีถามแบบ 5W2H)
๑. เป้าหมาย What กำลังทำอะไรอยู่ ทำไมจึงทำแบบนี้
๒. ทำไม Why ทำไมงานนั้นจึงต้องทำ ควรต้องทำหรือ
๓. สถานที่ Where ทำไมที่นั่น ที่อื่น ๆ ไม่ได้หรือ
๔. ลำดับขั้น When ทำเมื่อไร ทำขั้นตอนนั้น
๕. คน Who ใครเป็นผู้ทำ ทำไมจึงเป็นคนนั้น
๖. วิธีการ How ทำอย่างไร มีวิธีการอื่น ๆ ที่ดีกว่าหรือไม่
๗. ค่าใช้จ่าย How Much ใช้งบประมาณเท่าไร
การใช้ ๕ w ๒ h
- ใช้ ๕ w ๒ h พิจารณาสถานการณ์
- เราจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อ..........
- ใช้คำถาม ๕ w ๒ h
- นำทุกคำตอบมาตรวจสอบและใช้เป็นตัวกระตุ้น
- เลือกปัญหารอง ๆ ที่สะท้อนถึงปัญหาหลักที่ดีที่สุด
กระบวนการ PDCA
- วางแผน (Planning) คือ การนิยามปัญหา การวิเคราะห์ปัญหา การระบุสาเหตุของปัญหา การแก้ไขปัญหา
- การทำ (Doing) คือ การนำแผนไปประยุกต์ใช้
- การตรวจสอบ (Checking) คือ การยืนยันผลที่ได้จากการนำแผนไปปฏิบัติ
- การปฏิบัติการ (Action) คือ การกำหนดมาตรฐานของผลงานที่ต้องการ
เทคนิคการวางแผนเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา
- แผนกลยุทธ์ SWOT
- ZOPP
- BSC
- การบริหารความเสี่ยง
วงจรการบริหาร
- การบริหารคือการตั้งเป้าหมายและพยายามเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นตลอดเวลาโดยใช้หลัก
T P D C A
- T: TARGET
- P: PLAN
- D: DO
- C: CKECK
- A: ACTION
คุณสมบัติที่เอื้อต่อการคิด
- ใจกว้างและมีใจเป็นธรรม
- กระตือรือร้นใฝ่เรียนรู้
- ช่างวิเคราะห์และบูรณาการ
- มุ่งมั่นสู้ความสำเร็จ
- มีมนุษย์สัมพันธ์น่ารักน่าคบ
คุณค่าการคิด
- บริหารวิธีการดีขึ้น
- ปรับปรุงระบบงานดีขึ้น
- พัฒนาสร้างวัตกรรมใหม่
- สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
เมื่อระบบเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่ง
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ส่วนประกอบหนึ่ง ย่อมเป็นแรงส่งอิทธิพล ทำให้ส่วนประกอบอื่นๆ เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น และส่งอิธิพลย้อนกลับมาที่จุดเดิมอีก
ความมั่นคงของระบบ (Systems Stability)
- อยู่กับคุณภาพของการเชื่อมต่อระหว่างส่วนประกอบทั้งหลายของระบบ
- ทุกส่วนประกอบมีส่วนทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นพึงระลึกเสมอว่า
“ตัวเองมีส่วนช่วย หรือไม่ก็เป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆ”
รูปแบบพฤติกรรมของระบบ
- เมื่อเราเห็น “โครงสร้างของระบบ” เราจะมองเห็น “รูปแบบ พฤติกรรมของระบบ” เราสามารถมองเห็นวิธีเปลี่ยนแปลงระบบอย่างมีประสิทธิภาพ
กระบวนการย้อนหลัง (Feedback Process)
- กระบวนการย้อนกลับ เกิดจากการทำงานของ “พลังความเคลื่อนไหวของระบบ(Systemic Dynamics)” หรือ “พลัง ความเคลื่อนไหวของโครงสร้าง (Structural Dynamics)”
A Shift of Mind
- การกลับใจ คือ หัวใจขององค์การที่เรียนรู้
- กลับใจจากการเห็นตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้องโลก เป็นการเห็นว่าตัวเอง เชื่อมติดกับโลก และเป็นส่วนหนึ่งของโลก
- กลับใจจากเคยมองว่าปัญหาเกิดจาก “คนอื่น หรือสิ่งอื่นนอกตัว” เป็นการมองเห็นว่า ตัวเราเองก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เราเผชิญอยู่
- เลิกจากการมองว่า “มนุษย์เป็นตู้ตามแก้ปัญหา” หันมามองว่า “มนุษย์ จะก่อให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ได้”
ต้นแบบระบบ
- คือ รูปแบบพฤติกรรมที่เกิดซ้ำ ๆ เป็นเสมือนกุญแจสำหรับการเรียนรู้ เพื่อให้เห็นโครงสร้างของระบบการเห็นโครงสร้างของระบบ จะช่วยให้เห็น”พลังคานงัด”
A shift of mind
- มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์อนาคตที่ดีได้ด้วยตัวของมนุษย์เอง
- เลิกมองเห็นแต่เพียงส่วนประกอบของระบบ แล้วหันไปมองให้เห็นความสัมพันธ์ของกันและกัน หรือความเชื่อมโยงของส่วนประกอบ
- เลิกมองเห็นว่าเหตุและผลสัมพันธ์กันเป็นเส้นตรง แล้วหันไปมองให้เห็นว่า เหตุและผลสัมพันธ์กันและกันเป็นวงรอบ
- เลิกมองแต่เฉพาะเหตุการณ์(Events) แล้วหันไปมองเห็นรูปแบบ พฤติกรรม และการเปลี่ยนแปลงของระบบด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น