บทความโดย : ปรียา สุธรรมธารีกุล
อาจารย์ประจำ สาขาแฟชั่นดีไซน์
คณะศิลปะและการออกแบบ
มหาวิทยาลัยรังสิต
(กำลังพูดถึงAlta Moda หรือ แฟชั่นชั้นสูง ของฝ่ายอิตาเลียน หรือ Hâute Couture ฝ่ายฝรั่งเศส)
vogue.com (July 9,2017)
ทำไม Luke Leitch ถึงพูดแบบนี้ “Sicilians Do It Better: Dolce & Gabbana……” ถือโอกาสแชร์ให้นักศึกษาแล้วกันค่ะ
ดูงานล่าสุดของ Dolce&Gabbana Alta Moda แล้วทำให้นึกถึงรูปภาพของแฟชั่นในอดีต ยุควิคตอเรียน เห็น แฟชั่นชุดออกงาน Drop-Shoulder ของ Chrales Federick Worth (นักออกแบบเพศชาย ที่ออกแบบแฟชั่นหญิง ชาวอังกฤษในยุควิคตอเรียนที่ มีอิทธิพลต่อแฟชั่นฝรั่งเศสและยุโรป) แล้วยังมี Silhouette ของชุดที่สวมสุ่ม (Crinoline) ใหญ่ๆในยุควิคตอเรียน และนักออกแบบ หลายคน หลายชาติ เอามาใช้เป็น Silhouette อย่างสนุกสนาน เช่น Yohji Yamamoto พอจะนึกออกนะคะ
แต่ดิช้าน คงไม่รู้ใจ Luke Leitch (นักเขียนวิจารณ์แฟชั่นใน Vogue.com) แต่ก็เห็นว่าชื่นชม Dolce&Gabbana ม๊ากมาก ถ้าอยู่ข้างLuke ก็คิดว่าสีสัน ความสนุกสนาน ความอลังการณ์ และความกล้าของแบรนด์นี้ กระตุ้นความรู้สึก ของผู้ชมให้ตื่นเต้นได้ดีมาก ถ้าเราดูให้ลึกลงไป ในการออกแบบพื้นผิว ก็เห็นได้ว่านักออกแบบมีความเอาใจใส่การปักประดับ มีงาน Patch work, ผ้ายกดิ้นเงินทอง (ตาด- Brocade) เป็นต้น ลวดลายของพื้นผิว มาจากลวดลายในโบสถ์ของKing William II แห่ง Sicily นั่นเอง แต่ก็นั่นแหละ Hâute Couture และ Alta Moda ก็เอาใจใส่พอๆกัน จะตัดสินว่าใครทำได้ดีกว่า คงยาก ฝ่ายอิตาเลียน น่าจะอยู่ที่ความสนุกสนาน หรูหรา อลังการณ์ มีเรื่องเล่าบนผ้า การทอผ้า และการปักประดับ รวมทั้ง Accessories มากกว่า มั้ง แต่ Hâute Couture ก็มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วย แต่ก็ยังคงงานมืออยู่ อย่างของ Iris van Happen ส่วนเรื่องอื่นๆก็…..อึมม…..เอ….หรือเป็นTrendของDolce&Gabbana…จริงด้วย Dolce พูดว่า “….what you need in fashion now is beauty”
อันที่จริง เค้าก็เทพนะ น่าชื่นชม Dolce&Gabbana ตรงที่สามารถคงเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ของแบรนด์ได้ตลอดมา ตั้งแต่ประมาณปีคศ.2000 (ก่อนหน้านั้นหาทางอยู่) Dolce&Gabbana คงCharacter ของ เจ้าหญิง หรือ คุณนายสาว ที่รวยมากๆ สวยมากๆ สืบเชื้อสายชอบทองแบบชาวโรมัน (ขอนอกเรื่องอีกหน่อยนะ ชาวโรมันแต่ไรมาก็ชอบทองนะ รองเท้ายังทำด้วยทองเลย จำได้ไม๊ และช่วงประมาณ ประมาณก่อนยุคกลาง ตอนที่โรมันยึดเมืองConstantinople-Istanbul,ประเทศตุรกีในปัจจุบันได้ โรมันก็ได้รับ วัฒนธรรมของชาติอาหรับมาด้วย ศิลปะวัฒนธรรมที่เคยเรียบๆ ก็มีสีสัน อลังการณ์ด้วยทองมากขึ้น ช่วงนั้นนักประวัติศาสตร์เรียกว่ายุคByzentine มีภาพประดับฝาผนังเป็น Mosaicทอง) และสถานที่แสดง Alta Moda และแรงบันดาลใจของ Dolce&Gabbana ครั้งนี้ ก็เป็นโบสถ์ Monreale ที่พระเจ้า William II สร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากยุคByzentine ตอนนั้นศตวรรษที่12 Sicilian King พระองค์นี้ก็ได้เชิญ สถาปนิก คนเก่งจากเชื้อชาติฝรั่งเศส-Norman ชาวเวียนนา และชาวอาหรับ มาออกแบบด้วยความชาญฉลาด และมีการใช้ทองคำบริสุทธิ์ ในการตกแต่งถึง2,200 กิโลกรัม เลย Luke เค้าเล่ามา555
อีกอย่างนึง Dolce&Gabbana ก็น่าชื่นชม เค้าได้นำเอาเรื่องราวของชาว Sicilians และวัฒนธรรม มาเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้มีเรื่องราวให้เล่าบนเสื้อผ้ามากมาย และสนุกสนานด้วย ยังจำได้ที่เค้าใช้พืชผัก ดอกไม้.....และความหรูหราอลังการณ์ของโบสถ์วิหาร มาเป็นลายผ้าในอดีต (หรือ เป็นเพราะความเชื่อ ในเรื่องเทพ ของชาวอิตาลี ข้าว พืชผัก ก็มีเทพีนะ) คราวนี้ก็เหมือนกัน ใช้แรงบันดาลใจจากโบสถ์วิหาร มาสร้างสรรค์อย่างหรูหราอลังการณ์ อีกรูปแบบหนึ่ง แล้วเค้าก็เป็นเทพ นักการตลาดนะ ก็ดูสิ เค้าขายอะไร ก็อยู่บนรันเวย์หมด ไม่ว่า ชุดชั้นใน รวมD&G ด้วย แล้วยัง เชิญBuyer มาชมก่อนโชว์ด้วยนะ กันการก๊อปปี้ จากคนชอบก็อปค่ะ แล้วยังเชิญผู้มีอิทธิพลชาติต่างๆมาในงาน อีกทั้งนางแบบนายแบบ มาริโอ นักแสดงไทย จีน ญี่ปุ่น ยังมาเป็นนายแบบเลย ดูสิ กี่ชนชาติน่ะ (และคราวนี้เอาผัก ใส่ตระกร้ามาด้วย 555)
เอาหละ จบดีกว่า เดี๋ยวเบื่อ ถึงแม้สีสันใน Fall/Winter 2017 ของ Dolce&Gabbana, Alta Moda คราวนี้ ดูเป็นคานิวาลไปหน่อย ก็เถอะนะ ถึงใครจะมาว่าหนูลิเก ก็ลิเกมีคลาส อย่าดูถูกกันดีกว่านะคะ เค้าเรียกว่า Opera Costume จ้ะ หนุกดีนะ 555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น